ดิโมคริตุส (นักปราชญ์ชาวกรีก) ได้กล่าวว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างประกอบขึ้นจาก อนุภาคที่เล็กมาก เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ อนุภาคเล็กๆ เหล่านี้จะรวมตัวเข้าด้วยกันโดยวิธีการต่างๆ สำหรับอนุภาคนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่สามารถแตกแยกออกเป็นชิ้นส่วนที่เล็กลงไปอีกได้ ดิโมคริตุสตั้งชื่ออนุภาคนี้ว่า อะตอม (Atom) จากภาษากรีกที่ว่า atoms ซึ่งมีความหมายว่า ไม่สามารถแบ่งแยกได้อีก ตามความคิดเห็นของเขา อะตอมเป็นชิ้นส่วนที่เล็กที่สุดของสสารที่สามารถจะคงอยู่ได้
ต่อมานักวิทยาศาสตร์หลานคน ได้แก่ จอห์น ดอลตัน, เจ
เจ ทอมสัน, รัทเทอร์ฟอร์ด และนีลส์ โบร์ ตามลำดับเวลา
ได้เสนอทฤษฎีอะตอมโดยอาศัยข้อมูลจากการทดลองที่พอจะศึกษาได้
จนเป็นทฤษฎีอะตอมที่เชื่อถือได้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีใจความดังนี้
อะตอม (Atom) หมายถึง อนุภาคที่เล็กมากๆ
ของสสารที่สามารถจะคงอยู่ได้ ไม่สามารถแบ่งออกได้ทางเคมี ประกอบด้วยนิวเคลียส (Nucleus)
ที่มีโปรตอน (Proton) ซึ่งมีประจุเป็นบวก (+) และนิวตรอน (Neutron)
ซึ่งมีประจุเป็นกลาง รวมกันอยู่ตรงกลาง และอิเล็กตรอน (Electron)
มีประจุลบ (-) วิ่งอยู่รอบๆ
อนุภาคมูลฐานของอะตอม
ทุกอะตอมประกอบด้วยอนุภาคที่สำคัญคือ โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน
โดยมีโปรตอนกับนิวตรอนอยู่ภายในนิวเคลียส นิวเคลียสนี้จะครอบครองเนื้อที่ภายในอะตอมเพียงเล็กน้อย
และมีอิเล็กตรอนวิ่งรอบๆ นิวเคลียสด้วยความเร็วสูง
คล้ายกับมีกลุ่มประจุลบปกคลุมอยู่โดยรอบ
ตาราง
แสดงข้อมูลของอนุภาคมูลฐานของอะตอมแต่ละชนิด
อนุภาค |
ประจุ |
ประจุ |
มวล |
มวล |
อิเล็กตรอน |
-1 |
1.6 x 10-19 |
0.000549 |
9.1096 x 10-28 |
โปรตอน |
+1 |
1.6 x 10-19 |
1.007277 |
1.6726 x 10-24 |
นิวตรอน |
0 |
0 |
1.008665 |
1.6749 x 10-24 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น